วันที่ 5 กันยายน 2567 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับ มูลนิธิตากสินเพื่อพัฒนาการศึกษา จัดประชุมคณะกรรมการจัดการประกวดแข่งขันเรียงความ “อนาคตการศึกษาของเด็กไทย และอาชีพในฝันของเด็กไทยในอนาคต” เพื่อส่งเสริม สนับสนุนนโยบายการผลิตและพัฒนากำลังคนช่วงวัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมี นางสุทธศรี วงษ์สมาน  อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รองประธานกรรมการฯ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วย นายธฤติ ประสานสอน รองเลขาธิการสภาการศึกษา ดร.นิติ นาชิต รองเลขาธิการสภาการศึกษา นางอำภา พรหมวาทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนการศึกษา นางรัชนี พึ่งพาณิชย์กกุล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษา รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านระบบการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการ และบุคลากร สกศ. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องสิปปนนท์ เกตุทัต ชั้น 2 อาคาร 2 สกศ. ควบคู่กับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมร่วมรับฟัง คำสั่งสำนักงานเลธิการสภาการศึกษา ที่ 125/2567 ลงวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการจัดการประกวดแข่งขันเรียงความ “อนาคตการศึกษาของเด็กไทย และอาชีพในฝันของเด็กไทยในอนาคต” เพื่อส่งเสริม สนับสนุนนโยบายการผลิตและพัฒนากำลังคนช่วงวัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีเนื้อหาในด้านองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ มีศาสตราจารย์วรเดช จันทรศร ราชบัณฑิต เป็นประธานกรรมการฯ เลขาธิการสภาการศึกษา ทำหน้าที่ที่ปรึกษา และมีกรรมการอื่น ๆ ตามคำสั่ง ร่วมกันทำหน้าที่ ให้คำปรึกษา แนะนำรายละเอียดการดำเนินการตัดสิน คัดเลือกผลงาน ประกาศผลการประกวด และปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยการดำเนินการประกวดครั้งนี้ เพื่อบอกเล่าถึงการศึกษาเพื่อเด็กไทยในอนาคต และอาชีพการทำงานในอนาคตผ่านการเขียนเรียงความ มีกลุ่มเป้าหมายหลักในการดำเนินการ คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ทุกสังกัดทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนรางวัลจาก มูลนิธิตากสินเพื่อการพัฒนาการศึกษา

จากนั้นร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับการประกวดเรียงความ หัวข้อ “อนาคตการศึกษาของเด็กไทย และอาชีพในฝันของเด็กไทยในอนาคต” ใน 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. หลักเกณฑ์การประกวดเรียงความ และใบสมัครเข้าร่วมการประกวดเรียงความ มีหลักเกณฑ์สำคัญ ในด้านคุณสมบัติ ประเภท ลักษณะผลงาน เกณฑ์การพิจารณาตัดสิน รางวัล และอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลงานของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (มัธยมศึกษาปีที่ 1-3) ลักษณะผลงานประเภทเดี่ยว มีเกณฑ์การพิจารณาตัดสินในด้านเนื้อหา เหตุผลสนับสนุน ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษา และสำนวนถูกต้อง เหมาะสม 100 คะแนน มีเงินรางวัลทั้งหมด 8 รางวัล (รางวัลที่ 1 - 3 และรางวัลชมเชย) และผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทุกคนจะได้รับเกียรติบัตรการเข้าร่วมการประกวดผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ประชุมมีข้อเสนอแนะและปรับเพิ่มเติม เกี่ยวกับโครงสร้างและองค์ประกอบของเรียงความให้มีความชัดเจน ถูกต้อง เหมาะสมในข้อลักษณะผลงาน เกณฑ์การพิจารณาตัดสิน และมีข้อเสนอปรับเพิ่มเติมรายละเอียดใบสมัครและคำยินยอมของผู้เข้าร่วมการประกวดเรียงความ
2.รูปแบบการตัดสินของคณะกรรมการจัดการประกวดแข่งขันเรียงความฯ มีการพิจารณาใน 2 รูปแบบคือรูปแบบการหาค่าร้อยละจากเกณฑ์ด้านเนื้อหา เหตุผล ความคิดสร้างสรรค์ สำนวน การใช้ภาษา และรูปแบบการให้คะแนนรูบริค (Rubric) เพื่อใช้วัดระดับคุณภาพผลงาน ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าจะดำเนินการโดยใช้รูปแบบการตัดสินในรูปแบบการหาค่าร้อยละจากเกณฑ์ในด้านต่าง ๆ และแต่งตั้งคณะกรรมการย่อยในการคัดกรองผลงาน และให้ฝ่ายเลขานุการ ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสำนักสื่อสารองค์กร สกศ. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดการประกวดผ่านช่องทางสื่อสารของ สกศ. ต่อไป 3.แนวทางและแผนการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการประกวดแข่งขันเรียงความฯ จะดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางการสื่อสารของ สกศ. และทำหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ นักเรียนผู้ที่สนใจสามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่ วันที่ 1-29 พฤศจิกายน 2567 จากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 2 และ 3 เพื่อสรุปผลงานและพิจารณาเห็นชอบผลงานที่ได้รับการคัดเลือก และประกาศผลการตัดสินการประกวดเรียงความ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 มอบรางวัลในเดือนมกราคม 2568 ที่ประชุมได้เห็นชอบกับแนวทางการดำเนินการดังกล่าว และสามารถติดตามรายละเอียดการประกวดแข่งขันฯ ได้ผ่านทาง www.onec.go.th และ Facebook สภาการศึกษา ต่อไป

ทั้งนี้ สกศ.ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจในการส่งเสริมสนับสนุนนโยบายการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการมีงานทำ และนโยบายการผลิตและพัฒนากำลังคนช่วงวัยการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รองรับการพัฒนาของประเทศ โดยการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่สนองตอบต่ออาชีพและการทำงาน ให้ผู้เรียนมีการวางเป้าหมายชีวิต หรือเลือกอาชีพต่าง ๆ ในอนาคตตามความสนใจและความถนัดของตนเอง ซึ่งเชื่อมโยงกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาการศึกษาของประเทศ และช่วยเพิ่มศักยภาพของเด็กไทยไปสู่เวทีระดับโลกต่อไป